“Hide & Seek” ทรายแมวจากมันสำปะหลังที่สร้างความต่างในทุกมิติ

“Hide & Seek” ทรายแมวจากมันสำปะหลังที่สร้างความต่างในทุกมิติ

          “นักบิน” อาชีพในฝันสำหรับใครหลายคน แต่ในวันนี้กลับได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ COVID-19 แน่นอนว่าย่อมทำให้นักบินส่วนใหญ่ตั้งตัวไม่ติด เช่นเดียวกับ คุณอภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์ ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ ตรงข้ามกลับใช้โอกาสนี้ปรับตัวเพื่อสวมหมวกใบใหม่ในฐานะนักธุรกิจ ความรู้ที่ร่ำเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาจึงมีเพื่อนสนิทในคณะที่เรียนด้วยกัน ซึ่งในเวลาต่อมาเพื่อนคนนี้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเซลลูโลส ประกอบกับทั้งสองคนเป็นคนรักแมวเหมือนกัน ในจังหวะที่ได้รับรู้ข่าวสารจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตต่อเนื่องและตลาดใหญ่ที่สุดของโลกก็คือประเทศรัสเซีย จึงมีความคิดที่อยากจะส่งออกทรายแมวไปต่างประเทศบ้าง ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นจุดตั้งต้นให้เขาตัดสินใจร่วมกันทำธุรกิจผลิตทรายแมว Hide & Seek

 

          หาซัพพลายที่มีศักยภาพ สร้างจุดต่างจากคู่แข่ง

        จากดีมานด์ความต้องการทรายแมวในตลาดโลก ทำให้ คุณอภินันท์ มหาศักดิ์สวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัด หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ Hide & Seek ศึกษาและสำรวจตลาด พบว่า ทรายแมวที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ทรายแมวที่ผลิตในไทย แต่กลับเป็นทรายนำเข้าเกือบ 100% แล้วจะเอาทรายแมวที่ไหนไปส่งออก “จากคำถามนี้ เราพยายามหาทางออกว่าเราจะผลิตทรายแมวได้ไหม ผมกับเพื่อนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ค่อยๆ ซื้อวัตถุดิบชนิดต่างๆ มาทดลองทำกันในโรงรถหลังบ้าน กระทั่งพบคำตอบสุดท้ายที่มันสำปะหลัง เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยและส่งออกสูงที่สุดในโลก แต่โดนกดราคามาโดยตลอด เราจึงต้องการที่จะสนับสนุนเกษตรกรไทยด้วยการเพิ่มมูลค่าให้กับพืชชนิดนี้ด้วย”

        การเป็นแบรนด์น้องใหม่ทำให้ คุณอภินันท์ สร้างความแตกต่างให้กับสินค้า ไม่เพียงแต่เป็นทรายแมวมันสำปะหลังเจ้าแรกและเจ้าเดียวของไทย แต่คุณสมบัติของการนำมันสำปะหลังมาเป็นวัตถุดิบยังทำให้ทรายแมว Hide & Seek แตกต่างจากคู่แข่งแทบจะทุกมิติ

     

          ตอบโจทย์ทาสแมว แถมไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

          โดยทั่วไปทรายแมวในท้องตลาด 70-90% ทำจากแร่เบนโทไนท์ แร่นี้แม้จะมีในประเทศไทยแต่พบในปริมาณน้อยมาก ส่วนใหญ่จึงถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยนำมาผสมปูนซีเมนต์ ดังนั้นแร่ดังกล่าวที่นำมาใช้ในทรายแมวจึงนำเข้ามาจากประเทศจีน และใช้กันมาหลายสิบปีจนกลายเป็นมาตรฐานทรายแมวอย่างในปัจจุบัน

        “ทรายแมวประเภทเบนโทไนท์ตามธรรมชาติจะมีสารอนุพันธ์อื่นปะปนมาด้วยเรียกว่า ผลึกแร่ใยหิน หรือคริสตัลซิลิการ์ เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะก่อให้เกิดโรคมากมายทั้งต่อคนและต่อแมว อาทิ โรคทางเดินหายใจ มะเร็ง แม้กระทั่งโรคไต ซึ่งตรงนี้เจ้าของแมว ส่วนใหญ่มักไม่รู้”

 

         

          ในขณะที่ทรายแมว Hide & Seek เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการคิดค้นนวัตกรรมการนำมันสำปะหลังมาผ่านกระบวนการ Pregetinization เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติเชิงโมเลกุลของสตาร์ชในมันสำปะหลัง ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยเก็บกลิ่นปัสสาวะของแมวได้ดีที่สุดในท้องตลาด หากเปรียบเทียบกับทรายแมวในกลุ่มที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สามารถจับตัวเป็นก้อนหลังจากแมวใช้งานเสร็จ ซึ่งทำให้สะดวกในการเก็บและสามารถนำไปทิ้งชักโครกได้ เพราะมันสำปะหลังมีคุณสมบัติที่สามารถละลายแตกตัวในน้ำได้เร็ว และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ทำให้ปลอดภัยต่อแมวและผู้เลี้ยงอีกด้วย

         คุณสมบัติการย่อยสลายได้โดยไม่ทำให้ท่อชักโครกอุดตันนี้เอง ยังเป็นการตอบโจทย์เทรนด์การเลี้ยงแมวในระบบปิดตามพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยที่นิยมอาศัยในคอนโดมิเนียม ที่สำคัญยังรองรับเทรนด์ในเรื่องความยั่งยืนที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

 

     ทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว พร้อมเติมเต็มสิ่งที่ขาด

          แน่นอนว่าการเปลี่ยนบทบาทจากนักบินมาสวมหมวกเป็นนักธุรกิจถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ ในมุมมอง คุณอภินันท์ ยอมรับว่าเป็นความยากในช่วงแรก เพราะจำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่ในหลายๆ เรื่อง และไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านบัญชี การบริหาร และการทำตลาด “ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมหมดเลย แต่ผมก็ได้สกิลจากการเป็นนักบิน เช่น ความละเอียดรอบคอบ และคิดเผื่อสถานการณ์ต่างๆ มาเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ แต่จุดที่สำคัญกว่านั้นคือ เราต้องรู้ว่าบริษัทอยู่ในสถานการณ์อะไร และเราขาดอะไร จะได้เติมเต็มในสิ่งที่ขาด ด้วยการไปหาความรู้มาเพิ่มหรือสอบถามคนที่เชี่ยวชาญให้มาช่วยเรา”

         

         ยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ในช่วง COVID-19 ในระลอกแรก ทรายแมว Hide & Seek ยังคงเติบโตได้เฉลี่ย 20% ต่อเดือน แต่หลังจาก COVID-19 ระลอกล่าสุดเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อร้านค้าต้องปิดตัวลงไปจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านสัตว์เลี้ยงและห้างสรรพสินค้าที่เป็นช่องทางจำหน่ายหลัก บริษัทจึงหันไปชดเชยด้วยช่องทางออนไลน์ พร้อมใช้ช่องทางดังกล่าวสร้างโอกาสในการสื่อสารทำคอนเทนต์ถึงข้อดีข้อเสียของทรายแมวแต่ละประเภท เพื่อให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้ข้อมูลได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูล และใช้เวลาในช่วงนี้พัฒนาธุรกิจในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุน เพื่อขยายโรงงานเพื่อให้เกิด Economy of Scale เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในต่างประเทศได้ รวมถึงสร้างมาตรฐานโรงงานเพื่อการส่งออก เป็นต้น

           

         ในอีกทางหนึ่งก็แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ โดยเข้าไปร่วมโครงการจากหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุน SMEs ก็ถือเป็นอีก ช่องทางหนึ่ง ที่จะเป็นสปอตไลท์ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะเมื่อเข้าโครงการไปแล้ว แล้วเผอิญสินค้ามีความแตกต่าง เป็นที่น่าสนใจจะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และได้รับการเชิญชวนจากโครงการอื่นๆ เสมอ และทำให้ได้ไอเดียใหม่ๆ โดยไม่รู้ตัว เช่นที่ผ่านมาทรายแมว Hide & Seek มีโอกาสพัฒนาทรายแมวกลิ่นต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้า หรือไป Collaboration กับแบรนด์อื่นเพื่อทำสินค้าร่วมกัน

        นอกจากนี้ ทรายแมว Hide & Seek ยังอยู่ในระหว่างการขอทุนวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อวิจัยนำกากมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบหลักมาผลิตทรายแมว ซึ่งจะทำให้ยกระดับสินค้าไปสู่ Circular Economy คาดว่าจะเปิดตัวทรายแมวกากมันสำปะหลังออกสู่ตลาดได้ภายในปีหน้า อย่างไรก็ดี คุณอภินันท์ ยังมีเทคนิคการสร้างแบรนด์สำหรับ New Comer อย่างแบรนด์ Hide & Seek โดยเข้าโครงการประกวดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทและแบรนด์ “ผมคิดว่าการทำให้บริษัทเป็นที่น่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบริษัทน้องใหม่และไม่มีเงินทุนมากพอสำหรับการทำตลาด เพราะรางวัลที่ได้จากการเข้าประกวดโครงการจะช่วยทำให้แสงจากสปอตไลท์ส่องมาที่แบรนด์” เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการต้องทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว แสวงหาโอกาสและความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ที่มา : BrandAge Online Oct 8, 2021



คะแนนโหวต :